วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติของ ทอม เฟลตัล

ชื่อเต็ม :: โทมัส เเอนดรูว์ เฟลตัน
อายุ :: 17
สีผม :: น้ำตาลอ่อน
สีตา :: ฟ้า
เกิดวันที่ :: 22 กันยายน 1987 ( 2530 )
เมืองเกิด :: เอฟฟิ่งแฮม เซอร์เลย์ ประเทศอังกฤษ
พี่น้อง :: ทอมมีพี่ชาย 3 คน คือ Chris ( 18 ) Ashley ( 21 ) และ Jonathan ( 22 )
หนังเรื่องโปรด :: Titanic
ถนัดใช้มือ :: ข้างขวา
สีที่ชอบ :: ฟ้า
ราศี :: ราศีกันย์
ความสูง :: 182 cm ( สูงกว่าเจสัน ไอเเซคที่เเสดงเป็นพ่อตัวเองล่ะค่ะ )
ขนาดรองเท้า :: size 9 (เท้าใหญ่มากๆเลย)
ถนัด :: มือขวา
งานอดิเรก :: ตกปลา
รายการโทรทัศน์ที่ชอบ :: The Simpsons
สัตว์เลี้ยง :: Chinchilla ( แปลว่าสัตว์คล้ายหนู ) ชื่อ แสตนด์ลี่
สีโปรด :: สีฟ้า
กีฬาที่ชอบ :: ตกปลา ,ว่ายน้ำ ,ฟุตบอล ,เบสบอล ,คริคเก็ต ,เสก็ตน้ำแข็ง ( ควิดดิชไม่สนหรอ? )
แนวเพลงที่ชอบ :: เพลงแร็พ
อาชีพที่ใฝ่ฝัน :: นักตกปลามืออาชีพ ( สังเกตเเต่ละรูปของทอม เเกจะตกปลาตลอด "^^ )
ผู้หญิงในอุดมคติ :: "ผมไม่สนใจว่าเธอจะลักษณะอย่างไร แต่เธอต้องดี"
เริ่มแสดง :: 8 ขวบ
หนังสือโปรด :: Cirque du Freak ของ Darren Shan
รถยนต์ :: BMW 316 Estate ( อยากได้1.8 coupe )

:: ประวัตินี้เขียนโดยทอม ::

ผมได้รับจดหมายมากมายถามเกี่ยวกับความจริงในเรื่องต่างๆ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะฮะ!
ผมเกิดวันที่ 22 กันยายน 1987 ซึ่งตอนนี้ก็ 16 แล้ว สำหรับคุณๆ ที่อยู่ต่างประเทศ เรายังไม่สามารถ
ขับรถได้จนกว่าจะมีอายุครบ 17 ปีฮะ(กฎหมายอังกฤษ) ดังนั้นตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถขับรถได้
จนกว่าจะถึงเดือนกันยายนนี้ฮะ ดังนั้น ทุกเว็บไซต์ที่บอกว่าผมขับรถเบนซ์น่ะ ผิดทั้งนั้นล่ะฮะ!

ผมขี่จักรยานไปโรงเรียนประจำเมือง ไม่มีอะไรพิเศษหรอกฮะ ก็ธรรมดานี่แหละ ผมอยากให้คน
อื่นปฏิบัติต่อผมเหมือนคนธรรมดาเวลาอยู่ที่โรงเรียน ดูเดอะ ซิมป์ซันส์ (การ์ตูน) เล่นบาสเกตบอล
ตกปลา (บ่อยๆ!) แล้วก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เสียใจจริงๆ นะฮะที่ผมไม่สามารถให้เบอร์โทรศัพท์
มือถือหรืออีเมลล์แก่พวกคุณได้

ผมจะสอบ GCSE ในฤดูร้อนนี้ (2004) และเพราะการถ่ายทำภาคที่ 4 ผมจะไม่ได้เรียนวิทยาลัยจน
ถึงปี 2005 ซึ่งผมคิดว่าจะเรียนเกี่ยวกับธุรกิจการประมง ตอนนี้ผมทำได้แค่จับปลาคาร์ป โดยจับแล้ว
ปล่อย ดังนั้นมันจะไม่ได้รับอันตรายหรอกฮะ ปลาตัวใหญ่ที่สุดที่ผมเคยจับได้เป็นปลาคาร์ปธรรม จับ
ในแม่น้ำสาขาของเซนต์ ลอว์เรนซ์ ในเวดดิงตัน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว มันหนัก 16.88
กิโลกรัมฮะ

คำพูดเก็บตกต่างๆของทอม ::
& quot;ผมเหมือนกับเดรโกก็ตรงที่,ผมชอบโรงเรียนและผมก็คิดถึงมันมากเวลาที่ผมกำลังถ่าย
หนัง"

" ผมได้ลองบทหลายบทของตัวแสดงในเรื่อง, แต่ในที่สุดเขาก็ให้ผมเล่นในบทของศัตรูของแฮรรี่ แน่นอนครับมันสนุก และน่าสนใจมาก ผมกับแดเนียลเราเข้ากันได้ดีครับ มันเป็นการถ่ายทำที่สนุกมากครับ"

"จริงๆแล้วผมเป็นเพื่อนกับแครบและกอยล์ พวกเค้านิสัยดีครับ"

" เพื่อนผมซื้อตุ๊กตาเดรโก มัลฟอยมา และเราก็เล่นมันริมแม่น้ำ, ทรมานมัน, ดึงแขนมันออก, ห้อยมันไว้บนสะพาน ในที่สุดเราก็ฆ่ามัน ...แปลกดีนะ, เล่นกับตุ๊กตาที่หน้าตาเหมือนคุณ"

"คุณจะเห็นอีกด้านของ เดรโก เวลาที่เขาอยู่กับพ่อ เขาจะกลัว จนไม่กล้าพูดอะไรเลย"

"จริงๆแล้วเดรโกไม่ใช่คนที่ชอบรังแกคนอื่น เขาไม่ใช่คนที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในโลก เขาแค่รวย หัวสูง และคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด"

"จะดีมากถ้าคุณทำให้แคสติ้งหัวเราะ, เพราะเขาจะจำมันได้ขึ้นใจ และนั่นล่ะเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขาจำคุณได้"

"เวลาที่ต้องเล่นฉากร้องไห้, ผมจะนึกถึงอะไรที่เย็นๆ - อย่าถามผมว่าทำไมนะ!"
*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*

นิสัยของทอมเเละเดรโก ::
ทอม เฟลตัน เป็นคนที่ค่อนข้างชอบอยู่กับตัวเอง ( ไม่ถึงกับเก็บตัวนะ ) เเต่ความเห็นของสาวๆที่เหมือนกันหมดก็คือ "เท่ห์" ค่ะ เเต่มันก็ไม่เกี่ยวกับนิสัยหรอก อะนะคะ เเละอีกอย่างทอมชอบการตกปลามากๆเลยค่ะ เขาฝันอยากเป็นนักตกปลามืออาชีพเเละชาวประมง ทอมบอกว่าสาวในเเบบที่เขาชอบคือ พูดน้อยเเต่ไม่น้อยเกินไป ไม่ขี้บ่น เเละที่สำคัญต้องไม่หยิ่งค่ะ ทอมบอกว่าเขาเกลียดคนหยิ่ง สังเกตได้จากบทสัมภาษณ์ต่างๆของทอม เขาไม่หยิ่งเลยเเม้เเต่นิดเดียว...ให้ความร่วมมือกับเรื่องต่างๆดีมากด้วย ( อย่างน้อยทอมก็ไม่ต้องการผู้หญิงที่เดินบนเเคทวอกค์ได้เหมือนเเดนล่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องเเย่งกัน)

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ม้าลาย


ม้าลาย

Common Zebra(Burchell's Zebra)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Equus burchellii

ลักษณะทั่วไป
พบทั่วไปในทวีปแอฟริกาแถบที่ราบโล่งทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า


ถิ่นอาศัย, อาหาร
พบทั่วไปในทวีปแอฟริกาแถบที่ราบโล่งทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า
กินหญ้าและเมล็ดพืช

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
ชอบอาศัยอยู่ตามที่ราบโล่งที่เป็นหญ้า ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีหลายร้อยตัวจนถึงเป็นพันก็มี โดยจะเล็มหญ้าหากินร่วมกับสัตว์อื่นในทุ่งกว้าง เช่น นกกระจอกเทศ ยีราฟ แอนตีโลป และสัตว์กีบชนิดอื่นๆ ม้าลายมักจะมีนกกินแมลงจับเกาะอยู่บนหลัง เพื่อช่วยระวังภัยและกินพวกแมลงที่มารบกวน และมีนกกระจอกเทศและยีราฟคอยช่วยเป็นป้อมยามคอยเตือนภัยและระวังภัยให้ เพราะม้าลายสายตาไม่ค่อยดี แต่จมูกและหูไวมาก ฟันคม
ม้าลายเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ 2 ปี ตั้งท้องนานประมาณ 345-390 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว มีอายุยืนประมาณ 25-30 ปี

สถานภาพปัจจุบัน


สถานที่ชม
สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา

แกะ

แกะ

มีทฤษฎีหลายทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายถึงต้นกำเนิดของการเลี้ยงแกะ อย่างไรก็ตามส่วนจะเห็นพร้องกันว่า แกะที่เลี้ยงมีต้นกำเนิดมาจาก แกะมูฟลอน (mouflon) ปัจจุบันพบว่ามีแกะมูฟลอนป่า (wild mouflon) อยู่ 2 ชนิด คือ Asiatic mouflon ซึ่งยังคงพบอยู่ในบริเวณเทือกเขาแถบเอเซียน้อย (Asia Minor) และประเทศอิหร่านทางตอนใต้ แกะมูฟลอนอีกชนิดหนึ่งคือ European mouflon ซึ่งพบอยู่แต่ในหมู่เกาะซาดิเนีย (Sardinia) และคอร์ซิคา (Corsica) แกะทั้งสองชนิดนี้มีความเกี่ยวพันธ์กันอย่างใกล้ชิดมาก จะมีส่วนที่แตกต่างกันแต่เพียง แกะมูฟลอนเอเซีย (Asiatic mouflon) จะมีสีแดงและมีรูปเขาเขาที่ต่างออกไป บางคนคิดว่าแกะมูฟลอนยุโรปมีต้นกำเนิดมาจากแกะมูฟลอนเอเซียที่คนในยุโรปนำไป เลี้ยงนั่นเองมูฟลอน

แกะ ถือได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงชนิดแรกๆ ของมนุษย์ จากหลักฐานทางโบราณคดีในประเทศอิหร่าน พบว่า มีรูปปั้นแกะสลักของแกะพันธุ์ขน (wooled sheep) ซึ่งแสดงว่ามนุษย์เริ่มเลี้ยงแกะเพื่อเอาขนมาใช้ได้กว่า 6,000 ปีมาแล้ว ลักษณะของแกะที่พบอยู่ในปัจจุบัน ลักษณะของแกะในปัจจุบันปรากฎอยู่ในศิลปยุคเมโสโปเตเมีย (Mesopotamian) และยุคบาบิโลเนียน (Babylonian) และหนังสือเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสศักราช

ลักษณะ ที่สำคัญของแกะที่ถูกคัดเลือกให้เป็นลักษณะประจำของแกะมาหลายศตวรรษแล้ว ซึ่งมีด้วยกันหลายๆ ลักษณะ เช่น ลักษณะของขน (wool type) การชอบอยู่กันเป็นกลุ่มและลักษณะที่สำคัญทางเศษฐกิจอื่นๆ ทำให้ปัจจุบันมีแกะมากถึง 200 กว่าชนิดกระจายอยู่ทั่วโลก การสร้างสายพันธุ์ใหม่ในปัจจุบันทำได้ด้วยการสร้างแกะพันธุ์ผสม หรือผสมข้ามพันธุ์ โดยการผสมพันธุ์แกะตั้งแต่สอง หรือมากกว่าสองพันธุ์ขึ้นไป

ที่มา : http://www.vet.ku.ac.th/library-homepage/article/ruminant/picrum/sheep/sheep_brd.htm

ลิงลม(นางอาย)



ลิงลม
(นางอาย)

Slow Loris
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Nycticebus coucang
ลักษณะทั่วไป
รูปร่างเล็กขนนุ่มสั้นหนาเป็นปุย มีเส้นสีน้ำตาลเข้มจากหัวไปตลอดแนวสันหลัง หน้าสั้น ตาโตกลม ใบหูเล็กจมอยู่ในขน ไม่มีหาง ไม่มีนิ้วหัวแม่มือ นิ้วเท้าอันที่สองมีเล็บเป็นตะของอโค้ง ทั้งนี้เพื่อจับกิ่งไม้ได้แน่นในขณะมันลุกขึ้นยืนเพื่อจับแมลงกินเป็นอาหาร ป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า แต่แว้งกัดได้รวดเร็ว ถิ่นอาศัย, อาหาร พบในไทย อินโดจีน มาเลเซีย สุมาตรา ชวา บอร์เนียว และมินดาเนา กินแมลง สัตว์เล็ก ๆ ไข่นก และผลไม้ พฤติกรรม, การสืบพันธุ์ หากินบนต้นไม้เฉพาะในเวลากลางคืน และออกหากินตัวเดียว เว้นแต่ตัวที่มีลูกอ่อนจะเอาลูกเกาะติดอกไปด้วย กลางวันจะซ่อนหน้าเพื่อหลบแสงสว่าง โดยใช้ใบไม้บังหรืออยู่ในโพรงไม้ เมื่อมีอายุ 2 ปีจึงผสมพันธุ์ได้ เป็นสัดนาน 5–6 เดือน และมีทุกระยะ 37–45 วัน ตั้งท้องประมาณ 193 วัน ออกลูกปีละ 2 ครั้ง ปกติออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกอ่อนจะอยู่กับแม่จนตัวเกือบเท่าแม่จึงจะแยกออกไปหากินเอง ซึ่งกินเวลานานราว 6–9 เดือน และมีอายุยืนประมาณ 10 ปี สถานภาพปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 สถานที่ชม สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา


ที่มา : http://www.moohin.com/animals/mammals-59.shtml

ชะนีมือขาว


ชะนีมือขาว
Lar Gibbon(White-handed Gibbon)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Hylobates lar
ลักษณะทั่วไป
ชะนีมือขาวมีทั้งสีดำและสีขาว ส่วนหลังมือและหลังเท้าเป็นสีขาวและมีวงขาวรอบใบหน้า ใบหน้าและหูดำ มือยาว รูปร่างเพรียว ไม่มีหาง บางคนเรียกว่า “ชะนีปักษ์ใต้” ซึ่งความจริงแล้วก็คือชะนีมือขาวนั่นเอง


ถิ่นอาศัย, อาหาร
พบในพม่าแถบเทือกเขาตะนาวศรี ไทย ลาวและทางด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำโขงในลาว ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน มาเลเซีย และทางด้านทิศเหนือของเกาะสุมาตราสำหรับประเทศไทยพบได้ทั่วไปยกเว้นจังหวัดจันทบุรี
กินผลไม้ ยอดไม้ ไข่นก และแมลงต่าง ๆ

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
ชอบห้อยโหนไปตามกิ่งไม้ ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่บนต้นไม้สูง เวลากินน้ำใช้หลังนิ้วแตะน้ำและยกดูด ชอบร้องและผึ่งแดดเวลาเช้าตรู่บนกิ่งไม้ เวลาอากาศร้อนจัดจะลงมาจากต้นไม้สูงเพื่อหลบแดด เวลาตกใจจะเหวี่ยงตัวโหนไปตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว เหยี่ยวและงูเหลือมเป็นศัตรูสำคัญของชะนี
ชะนีผสมพันธุ์ตอนอายุ 7-8 ปี ตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกชะนีจะหย่านมเมื่ออายุ 4-7 เดือน จนอายุ 2 ปีจะแยกไปหากินเอง ชะนีอาจมีอายุยืนถึง 30 ปี

สถานภาพปัจจุบัน
เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535

สถานที่ชม
สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา


ที่มา : http://www.moohin.com/animals/mammals-15.shtml

แรด

แรด
วงศ์ RHINOCEROTIDAE
Rhinoceros sondaicus Dermarest, 1822

ลักษณะ :

: แรดจัดเป็นสัตว์พวกกีบคี่ คือมีเล็บ 3 เล็บทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ 1.6-1.8 เมตร น้ำหนักตัว 1,500-2,000 กิโลกรัม แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆ สีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีรอยพับของหนัง 3 รอย ตรงบริเวณหัวไหล่ ด้านหลังของขาคู่หน้าและด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน 25 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นม

อุปนิสัย:

ในอดีตเคยพบแรดออกหากินรวมกันเป็นฝูง แต่ปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอนจึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 16 เดือน

ที่อยู่อาศัย:

แรดอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบชื้นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล ส่วนใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ราบ ไม่ค่อยขึ้นไปบนภูเขาสูง

เขตแพร่กระจาย :

แรด มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา ปัจจุบันมีรายงานพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่าเกือบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ของ ทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่าอาจยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้างบนเทือกเขาตะนาวศรี และในป่าลึกบริเวณรอยต่อจังหวัดระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี

สถานภาพ:

ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวน 1 ใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1 ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังจัดเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S Endangered Species Act

สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์:

เช่นเดียวกับแรดที่พบในบริเวณอื่นๆ แรดที่พบในประเทศไทยถูกล่าและทำลายล้างอย่างหนัก เพื่อต้องการนอและส่วนต่างๆ เช่น หนัง กระดูก เลือด ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าสูงยิ่ง ใช้เป็นยาบำรุงและยาอื่นๆ นอกจากนี้บริเวณป่าราบที่แรดชอบอาศัยก็หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและบริเวณเกษตรกรรมจนหมด

จากหนังสือ : พืชและสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ในประเทศไทย


ที่มา : http://www.prc.ac.th/tree_an_teen/r_sondaicus.htm

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมี



หมี จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดอยู่ในวงศ์ Ursidae ออกลูกเป็นตัว ตาและใบหูกลมเล็ก ริมฝีปากยื่นแยกห่างออกจากเหงือก สามารถยืนและเดินด้วยขาหลังได้ ประสาทการดมกลิ่นดีกว่าประสาทตาและหู กินพืชและสัตว์ ในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ หมีควาย (Selenarctos thibetanus) ตัวใหญ่ ขนยาวดำ ที่อกมีขนสีขาวรูปง่าม และ หมีหมา หรือ หมีคน (Helarctos malayanus) ตัวเล็กกว่าหมีควาย ขนสั้นดำ ที่อกมีขนสีขาวรูปคล้ายเกือกม้า.










ที่มา :th.wikipedia.org/wiki

กระรอก



กระรอก จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย นัยนตากลมดำ หางเป็นพวงฟู จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ
กระรอกอาจแบ่งได้เป็น 3 พวกใหญ่ ๆ ได้แก่ กระรอกต้นไม้ (tree squirrels) กระรอกดิน (ground squirrels) และ กระรอกบิน (flying squirrels)
วงศ์กระรอกมี วงศ์ย่อย 2 วงศ์ คือ Pteromyinae ได้แก่ กระรอกบิน และวงศ์ Sciurinae ได้แก่ กระรอกต้นไม้, กระรอกบิน, ชิพมั้งค์
กระรอกต้นไม้ เป็นกระรอกที่มักพบเห็นได้บ่อยและคุ้นเคยกันดี มีหางยาวเป็นพวงสวยงาม มีกรงเล็บแหลมคม และมีใบหูใหญ่ บางชนิดมีปอยขนที่หู ส่วนกระรอกบินนั้น จะมีพังผืดข้างลำตัว สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง มักเป็นหากินในตอนกลางคืน มีตาสะท้อนแสงไฟ กระรอกดิน มักจะมีรูปร่างสั้น และล่ำสันกว่ากระรอกต้นไม้ มีขาหน้าแข็งแรงใช้สำหรับการขุดดิน หางของกระรอกดินนั้นจะสั้นกว่าหางของกระรอกต้นไม้ และไม่ฟูเป็นพวงนัก และเช่นเดียวกับสัตว์ฟันกัดแทะชนิดอื่น ๆ กระรอกจะมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว และ นิ้วเท้าหน้าข้างละ 4 นิ้ว ตรงส่วนที่น่าจะเป็นนิ้วโป้งจะกลายเป็นปุ่มนูน ๆ ซึ่งถูกพัฒนาให้เหมาะสำหรับจับอาหารมาแทะ
กระรอกมีขนาดใหญ่เล็กต่าง ๆ กันไปตามสายพันธุ์ และสามารถแบ่งตามขนาดได้ 3 กลุ่ม คือ ขนาดใหญ่ เช่น พญากระรอก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยพบอยู่เพียง 2 ชนิด คือ พญากระรอกดำ (Ratufa bicolor) และพญากระรอกเหลือง (Ratufa affinis) ซึ่งได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ขนาดกลาง เช่น กระรอกหลากสี (Callosciurus finlaysoni) กระจ้อน (Menetes berdmorei) และ ขนาดเล็ก เช่น กระเล็น (กระถิก) ซึ่งเป็นกระรอกที่เล็กที่สุดที่พบในประเทศไทย
อาหารของกระรอกคือ ผลไม้ และ เมล็ดพืช เป็นหลัก แต่กระรอกก็ยังชอบกินแมลงด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกระรอกขนาดใหญ่อย่างพญากระรอก นั้นบางครั้งก็ยังกินไข่นกเป็นอาหารอีกด้วย



ชนิดของงูพิษและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ชนิดของงูพิษและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น


เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาฝนตกและน้ำท่วมเป็นวงกว้างทำให้งูชนิดต่างๆหนีน้ำเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยของคนเพิ่มมากขึ้น ดังที่มีข่าวการเสียชีวิตของผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมจากการโดนงูเห่ากัด จึงอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของงูพิษที่อันตรายที่อยู่ในประเทศไทย และการปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกงูพิษกัดเบื้องต้นเพื่อลดอันตรายจากงูพิษได้

ชนิดของงูพิษในประเทศไทย
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้นจึงเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของงูพิษหลายชนิด ทำให้มีงูอยู่มากถึง 165 ชนิด ซึ่งจัดเป็นงูพิษ 46 ชนิด เป็นงูพิษที่อาศัยบนบก 24 ชนิด และเป็นงูทะเล 22 ชนิด จากงูพิษทั้งหมดสามารถแบ่งชนิดของงูพิษได้ 3 ชนิดตามอาการของพิษ คือ
• พิษที่มีผลทางระบบประสาท ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง และงูสามเหลี่ยม เป็นต้น พิษของงูเหล่านี้จะแสดงอาการเร็ว คือตั้งแต่ 10 นาที ถึง หลายชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอาการหนังตาตก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ตาพร่า อ่อนเพลียในที่สุดเป็นอัมพาต และอาจตายจากการหายใจล้มเหลว
• พิษที่มีผลทางระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเลชนิดต่างๆ มักจะแสดงอาการค่อนข้างช้า ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมง ถึงหลายชั่วโมงหลังจากถูกงูกัด บางทีอาจช้าถึง 1 วันได้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา บางรายอาจเป็นอัมพาตบางส่วน หรืออัมพาตทั้งหมด ปัสสาวะลดลง และสีจะเข้มขึ้นจนคล้ายสีของโคล่า ผู้ป่วยมักเสียชีวิตเนื่องจากไตวายหรือการหายใจล้มเหลว
• พิษที่มีผลทางระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบวมบริเวณที่ถูกกัดอย่างเห็นได้ชัดเจนมากกว่างูพิษทางระบบประสาท และมีเลือดซึมตามรอยเขี้ยว มีเลือดออกใต้ผิวหนังเห็นเป็นจ้ำๆ มีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ในรายที่รุนแรงจะมีการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะมีเลือดปน อวัยวะภายในตกเลือด มักเสียชีวิตจากอาการไตวาย

งูพิษชนิดต่างๆที่สำคัญ







• งูเห่า (Naja naja )
เป็นงูพิษที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะนอกจากมันจะมีพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีอยู่ชุกชุมและพบได้ทุกภาคของไทย งูเห่าสามารถแผ่แม่เบี้ยได้ บางชนิดมีความสามารถพ่นน้ำพิษออกมาได้ไกลถึง 2 เมตร ซึ่งถ้าพิษเข้าตาคนจะทำให้อักเสบอย่างรุนแรงถึงตาบอดได้ สีของงูเห่าพบได้แตกต่างกันตั้งแต่ สีเหลือง สีนวล สีน้ำตาล จนกระทั่งสีดำ



• งูจงอาง ( Ophiophagus hannah )
เป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยพบที่ยาวที่สุดถึง 6 เมตร ลักษณะคล้ายงูเห่า แต่ตัวโตกว่ามาก รูปร่างเพรียวยาวแผ่แม่เบี้ยได้เช่นกัน แต่แม่เบี้ยแคบกว่างูเห่าเมื่อเทียบกันตามสัดส่วนงูจงอางมีนิสัยดุ พบได้ในป่าทุกภาคแต่ชุกชุมทางใต้ ถือกันว่าเป็นงูพิษที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง


• งูแมวเซา ( Vipera russelli siamensis )
เป็นงูที่มีลำตัวอ้วนสั้น หัวค่อนข้างเป็นรูปสามเหลี่ยม บนหัวมีแต่เกล็ดเล็กๆ ปกคลุมอยู่ ไม่มีเกล็ดแผ่นใหญ่เลย สีตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีลายสีน้ำตาลเข้มเป็นดวงกลมๆตามตัว มีนิสัยดุร้าย เวลาถูกรบกวนจะสามารถพ่นลมออกมาทางรูจมูก เกิดเป็นเสียงขู่ดังน่ากลัวได้ ฉกกัดศัตรูได้รวดเร็ว งูแมวเซามีชุกชุมทางภาคกลาง




• งูเขียวหางไหม้ ( Trimeresurus sp .)
มีอยู่หลากหลายชนิด งูเขียวหางไหม้ส่วนใหญ่มักจะมีลำตัวสีเขียวและหางสีแดง แต่ก็ไม่เป็นอย่างนี้ทุกชนิด เพราะยังมีงูอื่นๆอีกหลายชนิดที่มีตัวเขียวหางแดงเช่นเดียวกับงูเขียวหางไหม้ เช่น งูเขียวปากจิ้งจก งูเขียวกาบหมาก ดังนั้นสีสันจึงไม่ใช่ตัวบ่งบอกที่ถูกต้องนัก การจะตัดสินว่างูตัวใดเป็นงูเขียวหางไหม้นั้น ต้องดูที่ส่วนหัว โดยปกติแล้วงูเขียวหางไหม้ จะมีหัวค่อนข้างโต คอเล็ก หัวค่อนข้างจะเป็นรูปสามเหลี่ยม บนหัวมีแต่เกล็ด แผ่นเล็กๆปกคลุมอยู่ ไม่มีเกล็ดแผ่นใหญ่เลย และถ้าสังเกตให้ละเอียดจะพบว่า ที่ระหว่างรูจมูกกับลูกตาของมัน จะมีร่องลึกๆขนาดใหญ่อยู่ข้างละ 1 ร่อง งูเขียวหางไหม้มักจะมีลำตัวอ้วน หางสั้น พบได้ตามพื้นดินที่มีที่สำหรับหลบซ่อนตัว และตามต้นไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน งูเขียวหางไหม้ที่มีชุกชุม ได้แก่
• งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง ( Tri-meresurus albolabri s)
ตัวเป็นสีเขียวอ่อน ท้องสีเหลือง ริมฝีปากเหลือง หางแดง พบมากทางภาคกลาง

• งูเขียวหางไหม้ท้องเขียว ( Tri-meresurus popeorum )
ตัวเป็นสีเขียวเข้ม ตาโตสีเหลือง ท้องสีฟ้า หางสีแดงคล้ำ พบมากในทางภาคกลาง

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด

• ใช้เชือกรัดเหนือบาดแผล ระหว่างแผลกับหัวใจเพื่อชะลอไม่ให้พิษงูเข้าสู่หัวใจ การรัดไม่ควรรัดแบบขันชะเนาะ เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณใต้ที่รัดไว้ไม่ได้ อาจทำให้เกิดเนื้อตาย และเน่าได้ภายหลัง ถ้าหากว่าต้องใช้เวลานาน กว่าจะพบแพทย์ ก็ควรจะเปลี่ยนบริเวณที่รัดเชือกโดยรัดอีกเปราะหนึ่งเหนือที่รัดครั้งแรกแล้วจึงคลายเปราะเดิมออก ทำเช่นนี้เรื่อยๆ อาจทำทุก 10 นาทีจนกว่าจะพบแพทย์
• พยายามให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ที่จะทำให้พิษเข้าสู่หัวใจได้เร็วขึ้น
• ไม่ควรใช้ไฟจี้แผล ใช้มีดกรีดแผล หรือดูดแผล
• ไม่ควรให้ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือใช้ยากระตุ้นหัวใจ มอร์ฟีน และยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ต่างๆ เพราะจะทำให้อาการสับสนจากอาการจากงูพิษทางระบบประสาท
• อย่าเสียเวลาลองยากลางบ้าน หรือวิธีรักษาแบบอื่นๆ
• ควรรีบนำผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลที่มีเซรุ่มโดยเร็วที่สุด
ที่มา :www.dld.go.th/vrd_np/sara_snake16-10-49.htm

จระเข้




จระเข้



จระเข้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในวงศ์ Crocodylidae ชอบอาศัยบริเวณป่าริมน้ำ ผิวหนังแข็งเป็นเกล็ด (osteoderm) ปากยาวและปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกว่า ก้อนขี้หมา หางแบนยาวใช้โบกว่ายน้ำเพราะชอบหากินในน้ำ ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ จระเข้บึง หรือ จระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) จระเข้อ้ายเคี่ยม หรือ จระเข้น้ำเค็ม (C. porosus) และ จระเข้ปากกระทุงเหว หรือ ตะโขง (Tomistoma schlegelii)







การจัดจำแนกสัตว์ในวงศ์จระเข้ (Crocodylidae)
สปีชีส์ส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในสกุล Crocodylus ส่วนอีกสองสกุลที่เหลือ Osteolaemus และ Tomistoma ต่างเป็นสกุลที่มีสปีชีส์เดียว (monotypic)
สกุล Crocodylus
จระเข้อเมริกา (American Crocodile), Crocodylus acutus
จระเข้ปากแหลม (Slender-snouted Crocodile), Crocodylus cataphractus
(Orinoco Crocodile), Crocodylus intermedius
(Freshwater Crocodile), Crocodylus johnstoni
จระเข้ฟิลิปปินส์ (Philippines Crocodile), Crocodylus mindorensis
(Morelet's Crocodile), Crocodylus moreletii
จระเข้แม่น้ำไนล์ (Nile Crocodile), Crocodylus niloticus
จระเข้นิวกินี (New Guinea Crocodile), Crocodylus novaeguineae
(Mugger Crocodile, Marsh Crocodile หรือ Persian Crocodile), Crocodylus palustris
จระเข้น้ำเค็ม (Saltwater Crocodile), Crocodylus porosus
จระเข้คิวบา (Cuban Crocodile), Crocodylus rhombifer
จระเข้น้ำจืด (Siamese Crocodile), Crocodylus siamensis
สกุล Osteolaemus
จระเข้แคระ (Dwarf crocodile), Osteolaemus tetraspis
สกุล Tomistoma
จระเข้ปากกระทุงเหว หรือตะโขง (False gharial), Tomistoma schlegeli







การสืบพันธุ์
จระเข้ออกลูกเป็นไข่ มีการพบว่าอุณหภูมิการกกไข่เป็นตัวกำหนดเพศ โดยอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียสจะได้เพศผู้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 32 องศาเซลเซียสจะได้เพศเมีย






ปลวก



ปลวก


"ปลวก" วัฏจักรชีวิตในกองดิน
แทบทุกครั้งที่ออกเดินศึกษาธรรมชาติในป่า เรามักพบเห็นจอมปลวกขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างกระจายอยู่ทั่วไป เคยสงสัยไหมว่าปลวกมีวงจรชีวิตเช่นใดภายในกองดินอันแข็งแกว่ง
จอมปลวก หรือ รังของปลวก ถือเป็นอาณาจักรของแมลงที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากที่สุดรังปลวกบางพันธุ์ในทวีปแอฟริกามีความสูงเหนือพื้นดินถึง ๖ เมตร มีอุโมงค์เชื่อมต่อใต้ดินครอบคลุมพื้นที่มากกว่า ๕ ไร่ และมีปลวกอาศัยอยู่รวมกันประมาณ ๕ ล้านตัว รังของปลวกที่มีลักษณะเป็นกองดินขนาดใหญ่ในบ้านเรามักเป็นปลวกในสกุล Macrotemes ความที่ปลวก (Termite) มีรูปร่างคล้ายมดและมีสีค่อนข้างขวาซีด จึงมีชื่อเรียกบางชื่อว่า White ant ทั้งที่จริง ๆ แล้วปลวกจัดอยู่ในอันดับ Isopthera ส่วนมด ผึ้ง ต่อ แตน นั้นจัดอยู่ในอันดับ Hyminoptera เพราะปลวกมีส่วนท้องกว้างกว่าอก ซึ่งผิดกับมดที่ส่วนท้องตอนที่ติดกับอกคอดกิ่ว ปัจจุบันทั่วโลกค้นพบชนิดของปลวกแล้วไม่ต่ำกว่า 1,800 ชนิด 200 สกุล ส่วนในประเทศไทยเองพบว่ามีปลวกอยู่นับร้อยชนิด
ปลวกแต่ละชนิดต่างมีกลวิธีและรูปแบบในการสร้างรังไม่เหมือน แต่ไม่ว่าจะมีขนาดมหึมาราวหอคอยหรือเล็กเพียงแค่เนินดิน ปลวกจำนวนมากมายในแต่ละรังจะแบ่งออกได้เป็น 3 วรรณะคือ ปลวกงาน ผู้คอยวิ่งวุ่นทำงานทุกอย่างภายในรัง เริ่มตั้งแต่ตอนก่อสร้างจอมปลวก ซ่อมแซมรังถ้ามีการสึกหรอ ดูแลรักษาไข่ของนางพญาไปจนถึงการหาอาหารมาเลี้ยงดูปลวกในวรรณะอื่น ถัดมาคือ ปลวกทหาร ซึ่งมีรูปร่างทะมัดทะแมงมีส่วนหัวและกรามใหญ่โตกว่าส่วนอื่น เพื่อใช้เป็นอาวุธในการออกรบ ปลวกทหารจะเป็นผู้ต้อนรับด่านแรกหากมีผู้บุกรุกเข้ามาภายในจอมปลวก และปลวกในวรรณะสุดท้ายได้แก่ ปลวกสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นพวกเดียวที่มีโอกาสเจริญเติบโตจนสามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ และเชื่อไหมว่าภายในจอมปลวกหนึ่ง ๆ ซึ่งมีปลวกนับหมื่นนับแสนตัวล้วนถือกำเนิดมาจากพญาปลวกเพียงตัวเดียว ส่วนนางพญาปลวกเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ต้องไล่ค้นไปถึงวงจรชีวิตของปลวกอันเริ่มต้นจากการจับคู่ของมวลหมู่แมลงเม่า

แมลงเม่า (alates) คือปลวกในวรรณะสืบพันธุ์ที่โตเต็มที่โดยมีปีกยาวเลยลำตัวออกมา เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงฤดูฝน ปลวกหนุ่มสาวที่มีปีกภายในจอมปลวกจะพากันบินออกมาจากรังมารวมหมู่เพื่อเลือกคู่ครอง พอจับคู่กันได้หนึ่งต่อหนึ่ง ก็ชักชวนกันไปหาทำเลอันเหมาะสม จัดการสลัดปีกทิ้งผสมพันธุ์กันแล้วมุดลงสู่พื้นดิน หลังจากนั้นแมลงเม่าสองตัวก็จะกลายสภาพเป็นราชาและราชินีปลวก รานิชีเริ่มต้นขบวนการวางไข่อย่างต่อเนื่องทันทีหลังการผสมพันธุ์ โดยมีราชาคอยผสมพันธุ์ โดยมีราชาคอยผสมพันธุ์ให้เป็นระยะ ๆ นับจากนี้เธอจะกลายเป็นนางพญาปลวก คอยทำหน้าที่วางไข่สร้างประชากรไปตลอดชั่วชีวิต เมื่อเวลาผ่านไปรูปร่างของนางพญาจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ คือ ส่วนท้องจะขยายใหญ่ขึ้นตลอดเวลาเพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนไข่ที่ต้องวางเพิ่ม เมื่ออายุ 10 ปี ขึ้นไปรูปร่างของนางพญาจะมองดูคล้ายหนอนยักษ์ตัวอ้วนพองที่เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้อีกต่อไป ประมาณกันว่านางพญาปลวกสามารถวางไข่ได้ 14 ฟอง ในทุก 3 วินาที ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนเธอจึงมีลูกจำนวนมหาศาล ประชากรปลวกรุ่นใหม่เหล่านี้เองที่ช่วยกันสร้างอาณาจักรใหม่อย่างแข็งขัน
การสร้างจอมปลวกเริ่มขึ้นโดยเหล่าปลวกงานจะช่วยกันกัดดินและขนดินมาทีละก้อน แล้วใช้น้ำลายเป็นตัวเชื่อมติด พวกมันค่อย ๆ สร้างผนังจอมปลวกแน่นหนาขึ้นทีละน้อยอย่างอดทน โดยมีปลวกทหารคอยทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้ ศัตรูสำคัญของปลวกทหารคือมดพันธุ์ต่าง ๆ ที่ชอบเข้ามารุกรานถึงภายในจอมปลวก เมื่อปราศจากการรบกวนปลวกงานจะสร้างห้องหับต่าง ๆ อย่างเป็นระบบเริ่มตั้งแต่ตำหนักของนางพญาที่จะต้องแข็งแกร่งเป็นพิเศษและซ่อนอยู่มิดชิดที่สุดภายในรัง แล้วจึงสร้างห้องเก็บรักษาไข่เพื่อบ่มฟักตัวอ่อน ซึ่งมันจะต้องขนไข่ออกจากตำหนักของนางพญามาจัดเก็บให้เป็นระเบียบอยู่เสมอเสร็จจากนั้นปลวกงานส่วนหนึ่งทำการขุดช่องระบายอากาศเพื่อให้ภายในจอมปลวกเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งขุดอุโมงค์ใต้ดินสู่ภายนอกเพื่อใช้เป็นเส้นทางในการออกไปหาเสบียงอันได้แก่เศษไม้เป็นหลัก ความจริงปลวกไม่สามารถย่อยไม้ได้เองอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นโปรโตซัวซึ่งอาศัยอยู่ในกระเพาะของมันต่างหากที่ช่วยย่อยเซลลูโลสให้กลายเป็นสารอาหาร ปลวกงานจะนำเชื้อราที่ได้จากการย่อยมาสร้างเป็นสวนเห็ดขึ้นภายในจอมปลวกเพื่อลดภาระในการออกตระเวนหาอาหารจะเห็นว่าปลวกงานมีหน้าที่หนักที่สุดในบรรดาปลวกทั้ง 3 วรรณะ ปลวกงาน จึงมีประชากรมากที่สุด ทั้งนี้นางพญาจะมีฮอร์โมนสังคม (Social Hormone) ควบคุมการวางไข่ให้อัตราส่วนประชากรในวรรณะต่าง ๆ ได้สมดุลอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ทางนางพญาจะผลิตปลวกในวรรณะสืบพันธุ์ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง พอถึงฤดูผสมพันธุ์ปลวกจำนวนนี้จะกลายเป็นแมลงเม่าบินอำลาจากจอมปลวกอันเก่าเพื่อเริ่มต้นจับคู่และสร้างอาณาจักรของมันเองขึ้นมาอีกครั้ง
ปลวกมีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยสลายไม้ เศษไม้ และวัตถุอื่น ๆ เพื่อนำแร่ธาตุหมุนเวียนกลับสู่ระบบนิเวศ และเมื่อแปลงร่างเป็นแมลงเม่าก็ยังเป็นอาหารทรงคุณค่าทั้งต่อนกและสัตว์ต่าง ๆ ภายในกองดินหนาทึบมีโลกเล็ก ๆ ที่กำลังทำหน้าที่ของเผ่าพันธุ์อย่างสัตย์ซื่อให้กับนิเวศธรรมชาติ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สุขบัญญัติ 10 ประการ

สุขบัญญัติ 10 ประการ

สุขบัญญัติ หมายถึง ข้อกำหนดที่เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปพึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัย เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ดังนั้น การส่งเสริมสุขบัญญัติจึงเป็นกลวิธีหนึ่งในการสร้าง เสริมและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีได้


๑. ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด - อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง - สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง - ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ - ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน - ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้อบอุ่นเพียงพอ - จัดเก็บของใช้ให้เป็นระเบียบ
๒. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี - แปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ ๒ ครั้ง เวลาเช้า และก่อนนอน - เลือกใช้ยาสีฟันและฟลูออไรด์ - หลีกเลี่ยงการกินลูกอม ลูกกวาด ท็อฟฟี่ หรือขนมหวานเหนียว - ตรวจสุขภาพในช่องปาก อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง - ห้ามใช้ฟันกัดขบของแข็ง
๓. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย - ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังการเตรียม ปรุง และรับประทานอาหาร - ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังการขับถ่าย
๔. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด - เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก ๓ ป คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด - ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก ๓ ส คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย - กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และกินให้ถูกหลักโภชนาการทุกวัน - กินอาหารปรุงสุกใหม่ และใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน - หลีกเลี่ยงการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารรสจัด ของหมักดอง หรือ อาหารใส่สีฉูดฉาด - ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ ๘ แก้ว
๕. งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ - งดสูบบุหรี่ - งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด - ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกประเภท - งดเล่นการพนันทุกชนิด - งดการสำส่อนทางเพศ
๖. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น - ทุกคนในครอบครัว ช่วยกันทำงานบ้าน - ปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน - เผื่อแผ่น้ำใจให้กันและกัน - ทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน
๗. ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท - ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม จุดธูปเทียนบูชาพระ และไม้ขีดไฟ เป็นต้น - ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น ปฏิบัติตามกฏแห่งความปลอดภัยจากการจราจรทางบก ทางน้ำ ป้องกันอันตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏิบัติการ เขตก่อสร้าง หลีกเลี่ยงการชุมนุมห้อมล้อม ในขณะเกิดอุบัติภัย
๘. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี - ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง - ออกกำลังกายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและวัย - ตรวจสุขภาพประจำปี
๙. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ - พักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ - จัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และที่ทำงานให้น่าอยู่ หรือน่าทำงาน - มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับในข้อบกพร่องของคนอื่น - เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย
๑๐. มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม - มีการกำจัดขยะในบ้าน และทิ้งขยะในที่รองรับ - หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก สเปรย์ เป็นต้น - มีและใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ - มีการกำจัดน้ำทิ้งในครัวเรือนและโรงเรียนด้วยวิธีที่ถูกต้อง - ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด - อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชน ป่า น้ำ และสัตว์ป่า เป็นต้น


เทคนิค การแต่งหน้า

ขั้นตอน และ เทคนิค การแต่งหน้า ให้กลมกลืนกับเปลือกตา



เป็นแนวทางให้คุณสาวๆ ได้นำไปแต่งหน้าในแต่ละวันได้อย่างหลากหลายมากขึ้นตามอารมณ์ การแต่งตัวและโอกาส ถ้าเปลือกตาสีฟ้า .. บวกกับ (ตาสีฟ้าอ่อน) แก้มสีชมพู+ปากสีชมพูอ่อน, ชมพูเข้ม, ชมพูม่วง สีโทนเย็นที่ใช้ทำให้คุณดูเป็นสาวหวานอ่อนโยน น่าทะนุถนอมและถ้าอยากสวยให้สุดก็อย่าได้เลือกสีส้มสดหรือสีส้มมาใช้เมคอัพเลย แค่นี้ก็หวานได้ใจแล้ว (ตาสีฟ้าน้ำทะเล) แก้มสีส้มพีช+ปากสีส้มอ่อนๆ แต่งแล้วได้อารมณ์ของสาวใสวัยเปรี้ยวกันเลยทีเดียว มองแล้วมีแต่ความสนุกสนาน ร่าเริง ทำให้โลกใบนี้ดูสดใส คุณสาวๆ สามารถแต่งไปเที่ยว ออกเดท หรือไปทำงานก็ได้ ยิ่งวันที่ไม่ต้องการความเรียบหรูดูสุภาพมาก โทนสีเมคอัพนี่แจ่มเลย แต่สีต้องห้ามที่ไม่เข้ากันกับเมคอัพสีนี้ นั่นก็คือสีชมพู สีแดง และสีม่วง ฉะนั้นตัดออกจากสีตัวเลือกได้เลย (ตาสีฟ้าเข้ม) แก้มสีชมพู+ปากสีชมพูหวาน จะสีอ่อนหรือเข้มก็ได้ ความเข้มของดวงตาบวกกับความหวานของแก้มและปาก ทำให้คุณเป็นสาวหวานที่น่าค้นหาขึ้นมาทันที พูดง่ายๆ ก็คือเป็นผู้หญิง 2 บุคลิกนั่นเอง ถ้าคุณอยากจะได้ลุคส์นี้ล่ะก็ อย่าได้เลือกสีแดงมาแต่งด้วยเลยทีเดียว เพราะมันจะไม่เข้ากันกับเมคอัพสไตล์นี้ ถ้าเปลือกตาสีเขียว .. บวกกับ (ตาเขียวอ่อนสีสดใส) แก้มสีส้มหรือสีพีช + ปากสีส้ม,ส้มทอง, ส้มสด ใบหน้าดูเฟรชขึ้น ให้ลุคส์ของสาวทันสมัยที่ใส่ใจเรื่องความสวยอยู่เสมอ แต่งโทนสีนี้แล้วอาจำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยได้เหมือนกัน ส่วนสีที่ไม่ควรเลือกมาใช้สำหรับการเมคอัพสไตล์นี้ก็คือสีแดง เพราะจะเกิดการแข่งความเด่นของสีกับดวงตา (ตาเขียวเข้ม) แก้มสีพีชหรือสีเบจ + ปากสีเบจหรือน้ำตาลทอง ดวงตาจะดูเด่น ในขณะที่สีของใบหน้าจะดูออกเป็นธรรมชาติหรือสีออกนู้ดหน่อย แต่ให้อารมณ์ของความหรูหราได้เป็นอย่างดี สาวมั่นที่ชอบแต่งตัวทั้งหลายเลือกแต่งโทนสีนี้ได้เลยค่ะ ได้ลุคส์ที่ถูกใจแน่นอน ส่วนสีต้องห้ามที่ไม่ถูกกันก็คือสีแดง, สีชมพู และสีม่วง อย่าได้เลือกมาใช้แทนเลยทีเดียวจะผิดคอนเซ็ปต์เอาง่ายๆ ถ้าเลือกตาสีขาว .. บวกกับ แก้มสีชมพู + ปากสีชมพู, ชมพูแดง หรือแดงเลย ให้ความเด่นของใบหน้าอยู่ที่ช่วงกลางและช่วงล่างเป็นหลัก โดยใช้สีหวานเป็นตัวช่วย ลุคส์ของใบหน้าจึงดูหวานใสตามโทนสีที่ใช้ แต่ทว่าหากคุณสาวๆ เลือกทาปากด้วยลิปสีแดงล่ะก็ สีของปากจะทำให้ใบหน้าของคุณยิ่งดูโดดเด่นมาก

โลหิต คือ อะไร

โลหิตมีส่วนที่เป็นน้ำ เรียกว่า น้ำเหลือง มีสีเหลืองอ่อนใส มีโปรตีน และปัจจัยการแข็งตัวของเลือด และส่วนที่เป็นเม็ดโลหิต ซึ่งมีเม็ดโลหิตแดง, เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิตเป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยกำลังสูบฉีดของหัวใจ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต คือ ไขกระดูก ซึ่งได้แก่ กระดูกแขน, กระดูกหน้าอก, กระดูกซี่โครง, กระโหลกศีรษะ, กระดูกเชิงกราน, กระดูกไขสันหลัง เป็นต้น ในร่างกายของมนุษย์ ( ผู้ใหญ่ ) จะมีโลหิตประมาณ4,000 - 5,000 มิลลิลิตร ( ซี.ซี. ) หรือสามารถคำนวณง่ายๆ คือ น้ำหนักตัวสุทธิ x 80 = ปริมาณโลหิตที่มีในร่างกายโดยประมาณ (หน่วยเป็นมิลลิลิตร)

โลหิต เเบ่งเป็น 2 ส่วน



1. เม็ดโลหิต จะมีอยู่ประมาณ 45 % ของโลหิตทั้งหมด ซึ่งมี 3 ชนิด คือ

- เม็ดโลหิตแดง มีหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนเพื่อให้เซลล์ต่างๆ ใช้สันดาปอาหารเป็นพลังงาน อายุการทำงานุ ในกระแสโลหิต ประมาณ 120 วัน
- เม็ดโลหิตขาว ทำหน้าที่ปกป้อง และทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส และสารที่ เป็นอันตรายอื่นๆ ซึ่งเปรียบเหมือนทหารป้องกันประเทศ เม็ดโลหิตขาวมีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 10 ชั่วโมง
- เกล็ดโลหิต ทำหน้าที่ช่วยให้โลหิตแข็งตัวตรงจุดที่มีการฉีกขาดของเส้นโลหิต มีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 5-10 วัน


2. พลาสมา (Plasma ) คือส่วนที่เป็นของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของโลหิตทั้งหมด มีหน้าที่ควบคุมระดับความดันและปริมาตรของโลหิต ป้องกันเลือดออก และเป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่จะเข้าสู่ร่างกาย พลาสมานี้ประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำประมาณ 92 % และส่วนที่เป็น โปรตีนประมาณ 8 % ซึ่งโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่
- แอลบูมิน มีหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ
- อิมมูโนโกลบูลิน มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่างๆ ที่จะเข้าสูร่างกาย


เกร็ดความรู้ ถ้านำเส้นโลหิตทั่วร่างกายมาต่อกัน จะมีความยาวถึง 96,000 กิโลเมตร หรือความยาวเท่ากับ 2 เท่าครึ่งของระยะทางรอบโลก โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณโลหิตในร่างกายจะมี 5 - 6 ลิตร ในผู้ชาย และ 4 - 5 ลิตร ในผู้หญิง และโลหิตจะมีการไหลเวียน โดยผ่านมาที่หัวใจถึง 1,000 เที่ยวต่อวัน คนหนุ่มสาวจะมีเซลล์เม็ดโลหิตแดงเท่ากับ 35,000,000,000,000 เซลล์ ( สามสิบห้าล้านล้านเซลล์ ) อยู่ภายในร่างกาย ในเวลา 120 วัน เซลล์เม็ดโลหิตแดง จำนวน 1.2 ล้านเซลล์ จะถึงกำหนดหมดอายุขัยถูกขับถ่ายออกมา ขณะเดียวกันไขกระดูกซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในกระดูกซี่โครง กะโหลกศรีษะ และกระดูกสันหลังจะช่วยกันผลิตเซลล์ใหม่ เท่ากับจำนวนที่ตายไปขึ้นมาแทนที่

ที่มา : http://www.nbc.in.th/data/what_blood_web.htm

สมุนไพร "สาบเสือ"


สาบเสือ
ชื่ออื่น หญ้าเสือหมอบ ( สุพรรณ - ราชบุรี - กาญจน์ ), รำเคย ( ระนอง ), ผักคราด, บ้านร้าง(ราชบุรี) , ยี่สุ่นเถื่อน (สุราษฎร์), ฝรั่งเหาะ, ฝรั่งรุกที่ (สุพรรณ) , หญ้าดอกขาว ( สุโขทัย - ระนอง ) , หญ้าเมืองวาย ( พายัพ ), พาทั้ง (เงี้ยว เชียงใหม่) , หญ้าดงรั้ง , หญ้าพระสิริไอสวรรค์ ( สระบุรี ), มุ้งกระต่าย (อุดร ) ,หญ้าลืมเมือง ( หนองคาย ),หญ้าเลาฮ้าง ( ขอนแก่น ) , สะพัง ( เลย ), หมาหลง ( ศรีราชา - ชลฯ) , นองเส้งเปรง ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่) , ไช้ปู่กุย ( กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน ) , หญ้าเมืองฮ้าง ,หญ้าเหมือน( อิสาน) , หญ้าฝรั่งเศส , เบญจมาศ ( ตราด ) , เซโพกวย ( กะเหรี่ยง เชียงใหม่ ) , มนทน ( เพชรบูรณ์ ) ; ปวยกีเช่า , เฮียงเจกลั้ง ( จีน )

ชื่อวิทยาศาสตร์ Eupatorium odoratum L.

วงศ์ Compositae

ลักษณะต้น เป็นพืชปีเดียวตาย ต้นสูง 1 - 3 เมตร ก้านมีริ้วรอย ปกคลุมด้วยขน ก้านและใบเอามาขยี้จะมีกลิ่นแรง ใบออกตรงข้ามกัน ลักษณะค่อนมาทางรูปสามเหลี่ยม ตัวใบยาว 3 - 10 ซม. ปลายใบแหลม ฐานใบกว้างใหญ่ หรือ กลมๆ ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟันขนาดใหญ่ มีขนปกคลุมทั้ง 2 ด้าน ด้านท้องใบมีขนหนาแน่นกว่าหลังใบ ดอกออกเป็นช่อลักษณะเป็นกระจุกคล้ายร่ม ดอกสีขาวออกม่วง มีดอกย่อยวงนอกเป็นเส้นสีขาวออกมา 1 วง ส่วนกลางของช่อดอกเป็นดอกย่อยที่มีทั้งเกสนตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน กลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ส่วยปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ผลมีขนาดเล็ก มีห้าเหลี่ยม ส่วนปลายมีขนช่วยพยุงให้ลอยไปตกได้ไกลๆออกดอกในฤดูหนาว มักพบตามที่รกร้างทั่วไป ชอบขึ้นตามที่มีแสงแดดมากๆตามทุ่งกว้าง ริมถนนการเก็บมาใช้ก้านและใบ ใช้สด

สรรพคุณก้านและใบ รสสุขุม ฉุนเล็กน้อย ใช้ฆ่าแมลง ห้ามเลือดแก้แผลที่แมลงบางชนิดกัดแล้วเลือดไหลไม่หยุด ใช้ใบสดตำพอกปากแผล หรือ อาจใช้ใบสดตำกับปูนกินหมากพอกแผลห้ามเลือดได้หรือใช้ใบสดขยี้ปิดปากแผลเลือดออกเล็กน้อยได้ดีผลทางเภสัชวิทยาน้ำต้มสกัดจากใบและต้น มีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยกออกจากตัวของหนูตะเภา แต่ลดการบีบตัวของลำไส้เล็กที่แยกออกจากตัวของกระต่าย น้ำต้มสกัดและผลึกสารที่สกัดได้จากต้นนี้ ไม่มีผลอย่างเด่นชัดต่อมดลูกที่แยกออกจากตัวของกระต่าย หากนำไปฉีดเข้าช่องท้องของหนูเล็ก พบมีความเป็นพิษเพียงเล็กน้อย